วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การศึกษาของเด็กไทย

การศึกษาของเด็กไทย


 การศึกษาของเด็กไทยเริ่มต้นจากสถาบัน ครอบครัว คือ บ้าน ถือเป็นโรงเรียนแห่งแรกของเด็ก เป็นที่ที่เด็กได้
 รับความรักและความรู้ตั้งแต่ยังแบเบาะ    พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ปู่ย่าตายายเปรียบเสมือน ครู คนแรก    ที่เป็นผู้เลี้ยงดู
 อบรมสั่งสอน หุงหาอาหาร ปกป้องคุ้มภัย และพยาบาลยามเจ็บป่วย หรือพาไปหาหมอ 

 เมื่อเด็กเล็กเดินได้ พูดจาพอรู้เรื่อง อายุครบ ๓ ขวบ ก็ถึงเกณฑ์เข้ารับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ถือเป็นหน้าที่ของพ่อแม่
 ผู้ปกครองที่จะพาเด็กเข้าเรียน ชั้นอนุบาล      การเรียนอนุบาลหรือเตรียมอนุบาลเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กเล็กก่อนเรียนชั้นประถมศึกษา เด็กจะได้รับการฝึกทักษะพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะทักษะการใช้มือ     ความมีระเบียบวินัย  
 การอยู่ร่วมกับผู้อื่น  การพูดจาไพเราะ การไหว้  การกล่าวคำสวัสดี ขอโทษ และขอบคุณ   ฝึกรับประทานอาหารเอง รู้จัก
 สุขอนามัยที่ดี  ฝึกทักษะมือทำงานศิลปะ เช่น ระบายสี วาดรูป  ได้ออกกำลังกาย ร้องรำทำเพลง  ไปจนถึงฝึกเขียนอักษร
 และพยัญชนะไทย และตัวเลข การเรียนชั้นอนุบาลนี้ใช้เวลา ปี   

 ต่อจากนั้นเด็กจะเข้าเรียน ประถมศึกษา โดยใช้เวลาเรียน ๖ ปี เพื่อศึกษาหาความรู้หมวดวิชาต่างๆ  ซึ่งเป็นหลักสูตร
 มาตรฐานของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต (สปช.) วิชาสร้างเสริมลักษณะนิสัย (สสน.)
 การงานพื้นฐานอาชีพ (กพอ.) วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ  และภาษาไทย  เด็กๆ จะได้ความรู้รอบตัว  เปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้างขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นและแสดงออก เห็นวี่แววความถนัดพิเศษในบางวิชาของเด็ก

 เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ แล้วเด็กๆ จะเข้าเรียนต่อในระดับ มัธยมศึกษา ต่อเนื่องอีก ๖ ปี โดย ๓ ปีแรกเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เรียนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ  คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา พระพุทธศาสนา สุขศึกษา  พลศึกษา และศิลปศึกษา  แล้วเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอีก ๓ ปีโดยใน ๓ ปีหลังนี้เด็กจะเลือกเรียนสายใดสายหนึ่งใน ๓ สายตามความสนใจและความถนัดของตน  คือ สายวิทย์ สายศิลป์-คำนวณ และสายศิลป์-ภาษา      เด็กไทยจำนวนมากอาจไม่สามารถหรือไม่มีโอกาสได้เรียนต่อจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เพราะความยากจน พ่อแม่ไม่สนับสนุน  ต้องช่วยเหลือทางบ้านทำมาหากิน เลี้ยงน้อง บ้านไกล หรือมีอุปสรรคบางประการ      สรุปว่าเด็กแต่ละคนจะใช้เวลา ๑๒ ปี
เรียนหนังสือให้จบการศึกษาภาคบังคับตามที่ภาครัฐกำหนด  

 อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนยังมีทางเลือกในระหว่างที่เรียนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ถ้าหากต้องการเลือกศึกษาต่อสาย
 อาชีพ เพราะต้องการออกไปประกอบอาชีพสายพาณิชย์ หรือสายช่างกลด้วยมีความถนัดและรักในงานอาชีพ  ก็สามารถ
 เลือกเรียนต่อ อาชีวศึกษา ได้  โดยสายอาชีวศึกษาได้จัดเตรียมหลักสูตรเพื่อการศึกษาอีก ๓ ปีต่อจากมัธยมศึกษาปีที่
 ๓ จะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหากศึกษาในสายอาชีวศึกษาต่อเป็นเวลา ๖ ปี  จะได้รับประกาศนียบัตร
 วิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่าอนุปริญญา  

 ส่วนเด็กที่ตั้งเป้าหมายศึกษาต่อในระดับ อุดมศึกษา หรือ มหาวิทยาลัย ซึ่งจะได้รับปริญญาตรีเมื่อจบการศึกษา
  ต้องจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และผ่านการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยปัจจุบันการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
         มีการเก็บผลคะแนนเฉลี่ยสะสม ๓ ปีจากชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ -  มารวมกับผลการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยด้วย  
              ดังนั้นช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะส่งผลถึงอนาคตของเด็กและเยาวชนคือการเรียนชั้นมัธยมศึกษา   ผู้ปกครองและครู
              จึงมีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่เด็ก  โดยพิจารณาความสามารถของเด็ก  เพื่อให้เด็กตัดสินใจเลือกทางเดินสู่อนาคตได้อย่าง
              สมเหตุผลและถูกทิศทาง  การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมีทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัยเปิด     ซึ่ง
              ระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยแบ่งเป็นคณะเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนรักและฝันอยากจะเป็นในอนาคต   เป้า 
              หมายการเป็นบัณฑิตคือ การนำความรู้คู่คุณธรรมไปประกอบสัมมาอาชีพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ วิศวกร
              สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ นักสื่อสารมวลชน  ครู/อาจารย์ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินการธนาคาร นักธุรกิจ เป็นต้น
              เพื่อช่วยเหลือตัวเอง ชุมชน สังคม และประเทศชาติสืบไป  

 เนื่องจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโลกโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและ
 ไม่สิ้นสุด ทำให้การสภาพการแข่งขันสูงด้านเศรษฐกิจการค้าทั้งในประเทศและนอกประเทศ   ผู้คนขวนขวายเรียนรู้
 มากขึ้น  เป้าหมายการศึกษาของเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่และที่มีกำลังความสามารถจึงมีความต้องการศึกษาสูงขึ้นใน
 ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยมีทางเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อกับมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน ในประเทศและ
 ต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญและมีบริการด้านการศึกษาในสาขาวิชานั้นๆ

         นอกเหนือจากระบบการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในระบบนี้ แต่ก็ยังมีเด็ก
              และเยาวชนด้อยโอกาสอีกจำนวนไม่น้อยที่แม้จะไม่ได้อยู่ในระบบนี้  แต่ภาครัฐ เอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชนก็
              ได้ร่วมมือดูแลให้เด็กเหล่านี้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง  เช่น กลุ่มเด็กพิการ ตาบอด หูหนวก พิการทางสมอง พิการ
              ซ้ำซ้อน เด็กออทิสติก   การศึกษาพิเศษเหล่านี้นับรวมถึง ระบบการศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษา
              ทางไกลผ่านดาวเทียม การจัดให้มีห้องสมุดชุมชนเพื่อการเรียนรู้ด้วตนเอง รวมถึงการเรียนรู้ในชุมชนด้วยภูมิปัญญา
              ท้องถิ่นด้วย

              เหนือสิ่งอื่นใด การศึกษา น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คนเป็น คนที่มีคุณภาพ เพราะการศึกษาเป็นขบวนการทำ
              ให้คนมีความรู้ และมีคุณสมบัติต่างๆ ที่จะช่วยให้คนคนนั้นอยู่รอดในโลกได้ เป็นประโยชน์กับตนเอง กับครอบครัว
              ประเทศชาติ และสังคมโลกโดยส่วนรวม

การเข้าคณะอักษรศาสตร์ ศิลปากร

 
การเข้าคณะอักษรศาสตร์ ศิลปากร



 1. คะแนน โอเน็ต 3 รายวิชา  ได้แก่ 
          ภาษาไทย (01)
      2. คะแนน เอเน็ต หรือ วิชาเฉพาะ  1 รายวิชา (ค่าน้ำหนักในการคิดคะแนน 35)  โดยเลือกสอบจากรายวิชาต่อไปนี้  คือ ภาษาไทย 2 (11) สังคมศึกษา 2 (12) ภาษาอังกฤษ 2 (13) ภาษาฝรั่งเศส (31) ภาษาเยอรมัน (32) ภาษาบาลี (33) ภาษาอาหรับ (34) ภาษาจีน (35) ภาษาญี่ปุ่น (36)  
      3. เกรดเฉลี่ยกลุ่มสาระ (GPA)  3  กลุ่มสาระ  ได้แก่         1.กลุ่มสาระภาษาไทย (ค่าน้ำหนักในการคิดคะแนน 5)        2.กลุ่มสาระสังคมศึกษา  ศาสนาและวัฒนธรรม (ค่าน้ำหนักในการคิดคะแนน 5)
        3.กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ (ค่าน้ำหนักในการคิดคะแนน10)


      4. เกรดเฉลี่ยสะสม (GPAX) (เกรดเฉลี่ยสะสม 6 เทอม ตั้งแต่ ม.4 – ม.6) (ค่าน้ำหนักในการคิดคะแนน 10)

      โดยคะแนนทั้ง 4 กลุ่ม นี้รวมกันเป็น 100% นะจ๊ะ

7 เทคนิคลัด เทคนิคลับ ในการอ่านหนังสือให้จำ ในเวลาที่จำกัด


7 เทคนิคลัด เทคนิคลับ ในการอ่านหนังสือให้จำ ในเวลาที่จำกัด



         เพื่อนๆ หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาในการอ่านหนังสือมามากมาย เช่น อ่านยังไงก็ไม่จำ ไม่มีสมาธิ ไม่รู้จะเริ่มต้นอ่านตรงไหนก่อน เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะสอบแล้ว ยังอ่านหนังสือได้ไม่ถึงครึ่งเลย ไม่รู้จะวางแผนการอ่านหนังสือยังไงดี ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดู น่าจะช่วยเพื่อนๆ ได้เยอะจ้า!!
        1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อนนะจ๊ะ หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัวหรอก
        2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดัน และกระตุ้นให้เพื่อนๆ มีความอยากในการอ่านหนังสือ วิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือพยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เพื่อนๆ ได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจ หรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้
        3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆ วิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กัน และวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น
        4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง
        5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา
        6. เตรียมตัว และให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น เพื่อนๆ หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ
        7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้ว ก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพัก เช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การสร้างแรงจูงใจในการเรียน



การสร้างแรงจูงใจในการเรียน
      การที่เด็กจะประสบความสำเร็จในการเรียนนั้นจำเป็นต้องมีปัจจัยหลายประการ หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้เกิดขึ้นกับเด็ก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวของครูเองจะต้องเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้น และหมั่นสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเองอย่างสม่ำเสมอด้วย
"เรียนรู้ข้ามโลก"
ฉบับนี้ ขอนำเคล็ดลับการสร้างแรงจูงใจในการเรียน 8 ประการของ เท็ด นัสโบม
ครูผู้มีประสบการณ์สอนในระดับชั้นประถมศึกษามากว่า 10 ปีในโรงเรียนไวเทเคอร์ มลรัฐโอเรกอน ในสหรัฐอเมริกา มาเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางสำหรับครูบ้านเราในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละโรงเรียน
ความกระตือรือร้นและตื่นเต้น



สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นคือการได้เห็นเด็กๆ เรียนรู้ และผมก็มักจะให้เด็กรู้ว่าผมตื่นเต้นด้วย ผมบอกเด็กๆ ว่า "ยังมีเรื่องอีกมากมายที่พวกหนูต้องเรียนรู้ และเป้าหมายของครูคือสอนให้พวกหนูเป็นผู้เรียนที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา" นัสโบมกล่าวว่า ครูต้องหาทางที่จะกระตุ้นหรือหล่อเลี้ยงความกระตือรือร้นและความน่าตื่นเต้นของตนเองให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เนื่องจากท่าทีในการสอนและการเรียนรู้ของครูจะส่งผ่านไปยังนักเรียนด้วย

ตั้งเป้าหมายสูง
นัสโบมเป็นครูที่ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ของนักเรียนทุกคนไว้สูง เขาพยายามจะสื่อไปถึงนักเรียนว่า "ความคาดหวังของครูคือ การที่นักเรียนสามารถบรรลุเป้าหมายในการเรียนที่ครูวางไว้" นัสโบมแสดงความเห็นว่า "หากครูตั้งเป้าหมายไว้สูง เด็กมีแนวโน้มจะเรียนรู้ได้ดีกว่า ในทางตรงข้าม ถ้าครูตั้งเป้าหมายต่ำ เด็กจะลดระดับการแสดงออกทางการเรียนของตนเองให้ต่ำลงเท่ากับความคาดหวังของครู"

ทางเลือก
นัสโบมมักจะเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนการเลือก ตัวอย่างเช่น เมื่อครูแจกกระดาษแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ ในคำสั่งระบุว่าเด็กสามารถเลือกทำโจทย์ข้อที่เป็นเลขคู่หรือเลขคี่ก็ได้ จากนั้นครูจะบอกต่อว่า "แต่ถ้านักเรียนเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ นักเรียนควรจะแก้โจทย์ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้เสร็จ" ในการใช้เทคนิคนี้ เป็นไปเพื่อ "เปลี่ยนวิธีการออกคำสั่งให้เป็นเรื่องของการท้าทาย" และมักพบว่ามีเด็กจำนวนถึงร้อยละ 90 ที่เลือกแก้โจทย์ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งต่อจนเสร็จ เพราะเด็กต้องการจัดตนเองอยู่ในกลุ่มคนที่มีความขยันหมั่นเพียร

ความรับผิดชอบ
ถึงแม้ว่านักเรียนจะมีโอกาสในการฝึกฝนการเลือก แต่นัสโบมก็ถ่วงดุลย์การมีอิสระนั้นโดยให้เด็กมีความรับผิดชอบ "เมื่อนักเรียนรู้ว่าตนเองต้องมีความรับผิดชอบ นักเรียนจะเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้อย่างน่าทึ่ง" แต่ละวัน นัสโบมจะเลือกเด็กนักเรียน 1 คนและมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลเรื่องการเข้าชั้นเรียนของเพื่อนๆ ในห้อง ซึ่งพบว่าเด็กๆ จะสนุกกับกับความรับผิดชอบ แม้แต่การเปิดประตูให้เพื่อนๆ เดินเข้าห้อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะนัสโบมแสดงให้นักเรียนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องของคนที่น่ายกย่อง และเป็นผู้มีอภิสิทธิ์

เน้นด้านบวก
เวลาให้คะแนนนักเรียน นัสโบมจะเน้นโจทย์ที่เด็กตอบถูก เช่น ทำได้ 43 จาก 50 ข้อ มากกว่าบอกว่าเด็กทำผิด 7 ข้อ เมื่อเด็กแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้สำเร็จ ครูจะเขียนคำว่า "ดี" ลงไป และเพิ่มคะแนนเป็น 50 ในกระดาษคำตอบนั้น ในกรณีที่เด็กบ่นว่า "หนูเหลืออีก 7 คะแนนเองก็จะได้เต็ม" ครูจะตอบเด็กว่า "หนูได้ตั้ง 43 เต็ม 50 แน่ะ หนูทำได้ดีแล้ว"

เรียนแบบร่วมมือ
นักเรียนจะต้องมีสำนึกในเรื่องของความรับผิดชอบและการถูกตรวจสอบกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันมากกว่าครู นัสโบมจะให้นักเรียนฝึกฝนการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันในกลุ่มเพื่อน โดยพยายามจัดให้เด็กที่มีลักษณะเป็นผู้นำ 1 คนกระจายอยู่ในแต่ละกลุ่ม เป็นต้น

นัสโบมกล่าวว่า นักเรียนมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงจูงใจซึ่งกันและกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลุ่ม โดยนักเรียนแต่ละคนจะมีจุดแข็งหรือความรู้สึกท้าทายเฉพาะตัว ซึ่งหากไม่มีสิ่งนี้จะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายของกลุ่มได้

กำลังใจ



เมื่อสังเกตเห็นว่านักเรียนคนไหนกำลังประสบปัญหาหรือรู้สึกไม่สบายใจ นัสโบมจะพยายามมองหาจุดชมเชยจากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเด็ก เป็นต้นว่า เมื่อเด็กเก็บเศษกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ นัสโบมก็จะพูดชมเชยเด็กและให้รางวัล เนื่องจากเขาเชื่อว่าการที่เด็กได้กระทำดีแล้วครูชมแม้ว่าจะเล็กน้อยในวันที่เด็กประสบปัญหาหรือไม่สบายใจ จะช่วยดึงนักเรียนให้กลับมาสู่การเรียนได้ตามปกติ

ครูนัสโบมมักใช้กิจกรรมที่แตกต่างหลากหลายในการให้กำลังใจเด็ก บางครั้งครูจะร้องเพลงนำแฮปปี้เบริ์ดเดย์ในวันเกิดของเด็ก เป็นผู้นำในการทำห้องเรียนให้มีชีวิตชีวา และทำแผนภูมิบันทึกการหลุดของฟันน้ำนมของเด็ก ในกรณีที่เด็กบางคนมีปัญหาหรือรู้สึกไม่สบายใจ ครูจะจัดกิจกรรมหรือใช้วิธีการพิเศษที่จะทำให้เด็กมีความสบายใจขึ้น

"บางครั้งเมื่อเด็กบางคนรู้สึกไม่สบายใจ ผมมักจะพูดในชั้นเรียนว่า ‘มีใครอยากให้เพื่อนและครูปรบมือให้ไหม ? ถ้ามีก้าวออกมาหน้าชั้นเรียนเลย’ เวลาที่เราพูดอย่างนี้เด็กมักจะก้าวออกมา และเราก็ปรบมือให้เขา ในตอนแรกเด็กอาจจะรู้สึกเก้อเขินบ้าง แต่ในที่สุดแล้วเขาจะตระหนักว่า ครูและเพื่อนๆ ในห้องต่างเป็นห่วงและรักเขา"

นอกจากวิธีการดังกล่าวแล้ว นัสโบมยังใช้วิธีที่เรียกว่า "ลูกแก้วในโถ" ในยามที่เด็กๆ ทั้งชั้นนั่งทำงานเงียบๆ และมุ่งมั่นอยู่กับงานที่ตนเองได้รับมอบหมาย ครูจะหย่อนลูกแก้วหนึ่งลูกลงในโถ "ผมตกลงกับเด็กๆ ว่า เมื่อเขาได้ยินเสียงลูกแก้วหล่นลงในโถ เขาจะต้องทำงานต่อไป" เมื่อลูกแก้วเต็มโถแล้ว เด็กทั้งห้องจะได้รับอนุญาตให้ทำกิจกรรมพิเศษที่พวกเขาสนใจ ซึ่งโดยทั่วไปเด็กๆ จะออกเสียงร่วมกันว่าอยากทำอะไร บางครั้งเป็นการดูหนังและรับประทานข้าวโพดคั่วไปด้วย หรือมีเวลาว่างในชั้นเรียนเพิ่มขึ้น จับกลุ่มเล่นกัน เป็นต้น

กฎ กติกา
เพื่อให้ห้องเรียนดำเนินไปอย่างราบรื่น ครูจำเป็นต้องฝึกทักษะในการจัดการกับพฤติกรรมด้านลบของเด็กบางคน "เมื่อเด็กทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกโกรธ ผมจะใช้โอกาสนี้ในการสอนเด็ก"

นัสโบมทิ้งข้อคิดฝากไปถึงเพื่อนครูในท้ายที่สุดว่า "เมื่อครูรู้สึกสนุก เด็กจะรู้สึกสนุกไปด้วย และเมื่อครูสร้างแรงจูงใจให้แก่ตนเอง นักเรียนจะเกิดแรงจูงใจเช่นเดียวกัน"

สาเหตุของการเกิดภูเขาไฟระเบิด

Volcano-eruption.gif

สาเหตุของการเกิดภูเขาไฟระเบิด
กระบวนการระเบิดของภูเขานั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดนัก นักธรณีวิทยาคาดว่ามีการสะสมของความร้อนอย่างมากบริเวณนั้น ทำให้มีแมกมา ไอน้ำ และแก๊ส สะสมตัวอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อให้เกิดความดัน ความร้อนสูง เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะระเบิดออกมา อัตราความรุนแรงของการระเบิด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการระเบิด รวมทั้งขึ้นอยู่กับความดันของไอ และความหนืดของลาวา ถ้าลาวาข้นมากๆ อัตราการรุนแรงของการระเบิดจะรุนแรงมากตามไปด้วย เวลาภูเขาไฟระเบิด มิใช่มีแต่เฉพาะลาวาที่ไหลออกมาเท่านั้น ยังมีแก๊สไอน้ำ ฝุ่นผงเถ้าถ่านต่างๆ ออกมาด้วย มองเป็นกลุ่มควันม้วนลงมา พวกไอน้ำจะควบแน่นกลายเป็นน้ำ นำเอาฝุ่นละอองเถ้าต่างๆ ที่ตกลงมาด้วยกัน ไหลบ่ากลายเป็นโคลนท่วมในบริเวณเชิงเขาต่ำลงไป ยิ่งถ้าภูเขาไฟนั้นมีหิมะคลุมอยู่ มันจะละลายหิมะ นำโคลนมาเป็นจำนวนมากได้ เช่น ในกรณีของภัยพิบัติที่เกิดในประเทศโคลัมเบียเมื่อไม่นานนี้ แหล่งที่มา:คณาจารย์คณะวิทยาศาสตร์.สารานุกรมวิทยาศาสตร์.2534.

สิ่งที่ได้จากการปะทุของภูเขาไฟ หลายคนเชื่อว่าลาวาเป็นวัตถุชิ้นแรกที่ถูกปล่อยออกมาจากภูเขาไฟซึ่งนั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป ทั้งนี้ในระยะแรกอาจพ่นเอาเศษหินขนาดใหญ่ออกมาจำนวนมากเรียกว่า"ลาวา บอมบ์"(Lava bomb)ส่วนเถ้าถ่านและ ฝุ่นละอองเกิดขึ้นต่อมาอย่างปกตินอกจากนั้นการเกิดระเบิดของภูเขาไฟยังปล่อยเอาก๊าซออกมาอีกด้วยดังจะกล่าวในรายละเอียด ตามลำดับดังนี้

ลาวาหลาก (Lava flow)
Lavaflow.jpg

 
      เนื่องด้วยลาวาที่มีปริมาณซิลิกาต่ำหรือลาวาที่มีองค์ประกอบเป็นบะซอลต์ปกติจะมีความเหลวมากและไหลเป็นชั้นบางๆแผ่เป็นแผ่นกว้างเหมือนลิ้นตัวอย่างบนเกาะฮาวาย ลาวาจะไหลออกมาด้วยความเร็ว 30 km./h บนพื้นที่ที่ชันมาก อย่างไรก็ตามความเร็วแบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยปกติพบว่ามีความเร็ว 10 - 300 m./h ในทางกลับกันการเคลื่อนที่ของลาวาที่มีซิลิกาสูงจะช้ากว่า เมื่อลาวาบะซอลต์ของการปะทุแบบฮาวายเอียนแข็งตัวมันจะมีผิวเรียบบางทีเป็นคลื่น(Wrinkle)ในขณะที่ลาวาด้านในใต้พื้นผิวซึ่งยังหลอมอยู่จะเคลื่อนที่ต่อไป ลักษณะนี้เรียกว่า "การไหลแบบ ปาฮอยฮอย (Pahoehoe flow)" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับริ้วเชือกบิดลาวาบะซอลตืทั่วๆไปจากแหล่งอื่นมักมีผิวขรุขระ เป็นแท่ง ขอบไม่เรียบแหลมคมหรือมีหนามยื่นออกมาเรียกว่า"อาอา(Aa)"ซึ่งเกิดจากลาวาประเภทนี้เช่นกันอาอาที่กำลังไหลออกมาจะเย็นและหนาขึ้นอยู่กับความชันของ ภูมิประเทศที่มันไหลมามีความเร็วของการไหลประมาณ 5-50m./h นอกจากนั้นก๊าซที่ออกมาจะทำให้ผิวของลาวาที่เย็นแตกออกและให้รูหรือช่องว่างขนาดเล็ก ที่มีปากรูเป็นหนามแหลมคมเมื่อลาวาแข็งตัวแล้ว

ก๊าซ(Gas)
ก๊าซละลายอยู่ในหินหนืดในปริมาณต่างๆกัน และอยู่ได้เพราะความดันของมวลหินโดยรอบเปรียบเหมือนคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในเครื่องดื่มซึ่งเมื่อความดันลดลงก๊าซ ก็เริ่มหนีออกมาเป็นฟองการศึกษาสภาพจริงจากการระเบิดของภูเขาไฟเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและอันตรายมากดังนั้นนักธรณีวิทยาจึงประมาณการ ปริมาณก๊าซที่ขึ้นมาจากก๊าซเริ่มต้น ที่ละลายอยู่ในหินหนืดไม่ได้เชื่อกันว่าหินหนืดส่วนใหญ่มีก๊าซละลายอยู่ประมาณ5%ของน้ำหนักทั้งหมดและก๊าซที่ออกมามีมากกว่า1000ตันต่อวัน องค์ประกอบของก๊าซ ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจมากเช่นกันทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดของมหาสมุทรและบรรยากาศของโลกการวิเคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากการระเบิดของ ภูเขาไฟที่ฮาวายชี้ให้เห็นว่าก๊าซที่ถูกปล่อยออกมาประกอบด้วยไอน้ำประมาณ70%คาร์บอนไดออกไซด์15%สารประกอบไนโตรเจนและซัลเฟอร์อย่างละ5%ก๊าซอื่นๆ ที่มีปริมาณน้อยกว่าได้แก่คลอรีนไฮโดรเจนและอาร์กอนสารประกอบซัลเฟอร์จะทดสอบได้ง่ายโดยกลิ่นฉุนของมันซึ่งอาจกลายเป็นกรดซัลฟิวริกและมีอันตรายเมื่อได้สูดดม เข้าไปในปอด


โทษของภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิด

 
1. แรงสั่นสะเทือน มีทั้งการเกิดแผ่นดินไหวเตือน แผ่นดินไหวจริง และแผ่นดินไหวติดตาม ถ้าประชาชนไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในเชิงภูเขาไฟอาจหนีไม่ทันเกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สิน
2. การเคลื่อนที่ของลาวา อาจไหลออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟเคลื่อนที่รวดเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มนุษย์และสัตว์อาจหนีภัยไม่ทันเกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
3. เกิดฝุ่นภูเขาไฟ เถ้า มูล บอมบ์ภูเขาไฟ ระเบิดขึ้นสู่บรรยากาศ ครอบคลุมอาณาบริเวณใกล้ภูเขาไฟ และลมอาจพัดพาไปไกลจากแหล่งภูเขาไฟระเบิดหลายพันกิโลเมตร ภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดที่เกาะลูซอนประเทศฟิลิปปินส์ ฝุ่นภูเขาไฟยังมาตกทางจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดสงขลา นราธิวาส และปัตตานี เกิดมลภาวะทางอากาศ และแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของประชาชน รวมทั้งฝุ่นภูเขาไฟได้ขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ใช้เวลานานหลายปี ฝุ่นเหล่านั้นถึงจะตกลงบนพื้นโลกจนหมด
4. เกิดคลื่นซึนามิ ขณะเกิดภูเขาไประเบิด โดยเฉพาะภูเขาไฟใต้ท้องมหาสมุทร คลื่นนี้จะโถมเข้าหาฝั่งสูงขนาดตึก 3 ชั้นขึ้นไป กวาดทุกสิ่งทั้งผู้คนและสิ่งก่อสร้างลงสู่ทะเล เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
5. หลังจากภูเขาไฟระเบิด มีฝุ่นเถ้าภูเขาไฟตกทับถมอยู่ใกล้ภูเขาไฟ เมื่อฝนตกหนัก อาจจะเกิดน้ำท่วมและโคลนถล่มตามมาจากฝุ่นและเถ้าภูเขาไฟเหล่านั้น
ประโยชน์ของภูเขาไฟระเบิด
1. การระเบิดของภูเขาไฟช่วยปรับระดับของเปลือกโลกให้อยู่ในภาวะสมดุล
2. การเคลื่อนที่ของลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้หินอัคนีและหินชั้นใต้ที่ลาวาไหลผ่านเกิดการแปรสภาพ เช่น หินแปรที่แข็งแกร่งขึ้น
3. แหล่งภูเขาไฟระเบิด ทำให้เกิดแหล่งแร่ที่สำคัญขึ้น เช่น เพชร เหล็ก และธาตุอื่นๆ อีกมาก
4. แหล่งภูเขาไฟจะเป็นแหล่งดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น ดินที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
5. แหล่งภูเขาไฟ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติฮาวาย ในอเมริกา หรือแหล่งภูกระโดง ภูอังคาร ในจังหวัดบุรีรัมย์ของไทย เป็นต้น
6. ฝุ่น เถ้าภูเขาไฟที่ล่องลอยอยู่ในอากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ทำให้บรรยากาศโลกเย็นลง ปรับระดับอุณหภูมิของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลกที่กำลังร้อนขึ้น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำแอลนิโน ที่ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศของโลกสูงขึ้นนั้นลดต่ำลง


สถิติการเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งสำคัญ
การระเบิดของภูเขาไฟครั้งสำคัญได้ทำลายชีวิตผู้คนไปแล้วเกือบ 2 แสนคน นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยในปี ค.ศ. 1985 ประชาชนชาวโคลัมเบียสูญเสียชีวิตเป็นหมื่นเช่นกัน ใน 17 ครั้ง 11 ครั้งเป็นการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งอยู่ในประเทศเขตร้อน ได้แก่ ดินแดนประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนี เกาะมาร์ตินีก อยู่ในหมู่เกาะอินดีสตะวันตกและกัวเตมาลา (ละติจูด 15° เหนือ) ประเทศโคลัมเบีย (ละติจูด 5° เหนือ) และประเทศแคเมอรูน (ละติจุด 5° เหนือ) เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศในเขตร้อนมักจะประสบภัยจากธรรมชาติหลายประเทศ ตลอดจนภูเขาไฟระเบิดด้วย ซ้ำประเทศเหล่านี้เป็นประเทศกำลังพัฒนา สถิติประชากรประสบภัยยังอยู่ในอัตราสูงเพราะขาดการเตือนภัยที่ดี และการอพยพประชากรทำได้ลำบากเพราะความไม่สะดวกของเส้นทางคมนาคม ตลอดจนการพยากรณ์ภัยพิบัติไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือเท่าที่ควร หรือขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกากลับมีผู้เสียชีวิตเพียง 60 คน เท่านั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ถ้าการพยากรณ์และเตือนภัยภูเขาไฟระเบิดกระทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมาก ภูเขาไฟบางลูกอาจทำลายชีวิตผู้คนหลายหมื่นคน ในการระเบิดเพียงครั้งเดียว ถ้ามีการตายจำนวน 2-3 พันคน จากการระเบิดของภูเขาไฟมักจะเกิดขึ้นโดยต่างปี ต่างสถานที่กันและอีกหลายปีผ่านไปอาจไม่มีใครเสียชีวิตจากภูเขาไฟระเบิดเลยก็ได้ ต่างจากแผ่นดินไหวที่แต่ละปีมีคนตายเป็นพันๆ คน เกือบทุกปี เช่น แผ่นดินไหวที่เคยเกิดเมื่อปี ค.ศ.1928,1950 และ 1976 ที่มีคนตายถึง 100,000 คน การเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติอย่างมหาศาล ประชาชนทั้งหลายย่อมได้ฟังมามากมาย แต่เพราะเหตุใดเขาเหล่านั้นยังคงเลือกที่จะอยู่ในสถานที่อันตรายทั้งที่รู้แล้วว่าอีกไม่นานอาจเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ที่ทำลายบ้านเรือนหรือแม้แต่ชีวิตของตนเองได้ เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นคงมีแต่ความเลวร้าย เพราะเหตุใด คำตอบมีดังนี้
1)ประชาชนรู้จากประสบการณ์ว่าแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด เกิดในเขตเดียวกันของโลก และจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เขาเชื่อว่าความสูญเสียยังคงเหลือคนดีอยู่บ้าง คงไม่เสียหายจนหมด
2)ประชาชนรักถิ่นที่อยู่มีความรู้สึกผูกพัน ถ้าจะต้องอพยพย้ายถิ่นด้วยเหตุทางเศรษฐกิจหรือเหตุผลอื่นใด ย่อมมีความเสียใจพอๆ กับบ้านเรือนถูกทำลายทีเดียว
3)ประชาชนชอบอยู่ในที่เดิม เว้นแต่ว่าตั้งใจออกไปหาที่อยู่ใหม่ที่มั่นคงกว่าได้ ดังนั้น ผู้คนจำนวนหลายร้อยล้านคน ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ล่อแหลมต่ออันตรายของเขตเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ทั้งๆ ที่รู้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าจะต้องการพื้นที่ก็ไม่สามารถย้ายออกไปได้ เพราะพื้นที่โลกที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยมีจำกัด แผ่นดินโลกร้อนเกินไปเสียแล้ว

ขั้นตอนการวาดภาพคนเหมือน

อุปกรณ์ในการเขียนภาพ
อุปกรณ์ในการเขียน ภาพทุกชนิดนั้น    ความสำคัญของมันแทบจะเท่ากันหมด   หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปก็จะสร้างภาพเขียนให้สมบูรณ์ไม่ได้    แต่อุปกรณ์ที่จะพูดถึงในการวาดเส้น ภาพคนเหมือน   ครั้งนี้เป็นอุปกรณ์แบบหลักๆ     ที่จำเป็นจริงๆ  ที่ใช้ใน การเขียนมีดังนี้ 
      1. กระดาษ  ในการวาดเส้นภาพคน เหมือน   อาจจะไม่ต้องนำกระดาษมาใช้ในการรองรับภาพที่เราจะเขียนก็ ได้    เช่น  อาจจะเขียนบนผ้า  ผ้าใบ, ไม้, ปูน, ผนัง  ฯลฯ  แต่หากเราจะ เริ่มฝึกการวาดเส้นนั้น   เราควรจะฝึกจะฝึกบนกระดาษก่อนเป็นดีที่สุด  ขอยืน ยัน  เพราะว่ากระดาษจะเคลื่อนย้าย  พกพา  และเขียนง่าย  หากว่าผิดพลาดก็ แก้ไขได้ง่ายโดยกระดาษที่นำมาใช้ในการวาดเส้นนั้นมีหลายชนิดมากเช่น กระดาษ 100 ปอนด์ 80 ปอนด์   อาร์ตมัน   การ์ด   ปรู๊ฟ  ขาว เทา  2 หน้า   หนังสือพิมพ์  ฯลฯ   หรืแม้แต่กระดาษถ่ายเอกกระสารก็ใช้ได้ผล เป็นอย่างดี สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม และความถนัดของผู้เขียนเอง    หากอยากรู้ว่ากระดาษชนิดไหน   เหมาะสมกับเรา มากที่สุดก็มีวิธีคือ   การหัดวาดและทดลองบ่อยๆ บนกระดาษหลายๆชนิด   จะรู้สึกเองว่ากระดาษชนิดไหนเหมาะสมกับเรามากมี่ สุด    โดยที่ต้องไม่มีใครมาแนะ นำ 
     2.  ดินสอ  เช่นเดียวกันกับกระดาษตรงที่ ว่า  จริงๆแล้วการวาดเส้นคนเหมือนอาจจะไม่ต้องใช้ดินสอเพียงอย่างเดียวก็ได้แต่อาจจะใช้วัสดุจำพวกเกรยองชาโคล  ถ่าน   ปากกา   หมึก   ฯลฯ   ก็ได้แต่วัสดุที่จะทำให้เกิดเส้นได้ สมบูรณ์  และเหมาะสมในการฝึกเขียนได้ดีที่สุดก็คือ   ดินสอดำ  และดินในโลก นี้ก็มีมากมายหลายยี่ห้อ   หลายเกรด   เช่น   H  2B 4B 6B EE  ฯลฯ  หากอยากรู้ว่าดินสอชนิดไหน ยี่ห้อไหนเกรดใด เหมาะสมกับเรามากที่สุด  ก็ฝึกเขียนเยอะๆทดลองบ่อยๆ  ก็จะรู้เองว่าดินสอ ชนิดใด  เหมาะสมกับเรามากที่สุด   
     3.  ด้ามต่อดินสอ  เราควรมีด้ามต่อดินสอ  เพราะยามใดที่ดินใกล้หมด  ด้ามต่อดินสอจะมี ประโยชน์กับเรามากดีกว่าเราจะเอาดินสอ  ที่สั้นแล้วไปทิ้ง ทั้งๆที่ยังมีคุณค่าอยู่มาก
    4. กระดานรองเขียน นี่ก้อเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญชิ้นหนึ่ง
    5.ตัวหนีบกระดาษ บนกระดานรองเขียน  
    6. มีดเหลาดินสอหรือคัต เตอร์ 
    7. กระดาษทราย เอาฝนดินสอสะดวกนักแล   
    8. กล่องใส่ดินสอ และอุปกรณ์ต่างๆ
 ขั้นตอนการเขียนภาพคนเหมือน
วิธีที่จะแนะนำต่อไปนี้ เป็นการแนะนำ แบบคร่าวๆ  เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐาน มาบ้างแล้วเล็กน้อยส่วนท่านที่ยังไม่มีพื้นฐานมาเลยก็สามารถอ่านได้นะ ส่วนวิธีเขียนภาพแบบละเอียดที่เริ่มจากพื้นฐานการเขียนเลยนั้นผมก็มีแนะนำในเว็บนี้เช่นกันค่ะ
     1.ร่างภาพก่อนการลงน้ำหนักนั้นเราควรร่างภาพให้ สมบูรณ์และถูกสัดส่วนเสียก่อน  เพราะถ้าหากว่าภาพร่างของเราไม่สมบูรณ์หรืผ ิดเพี้ยนในขั้นแรก   ก็จะไม่มีทางเลยที่จะมีภาพเขียนที่สมบูรณ์แบบและถูกสัด ส่วนโดยในการร่างภาพนั้นควรจะร่างเบาๆไว้ก่อนกันผิดพลาด  เพราะถ้าพลาดก็ จะลบออกได้ง่าย 
     2. กำหนดแสงเงา ขั้นตอนนี้ สำหรับผู้อ่านบางท่าน   หรือรูปต้นแบบบางรูปอาจจะไม่จำเป็น  ขั้นตอนนี้ เหมาะสำหรับภาพต้นแบบที่มีแสงจัด  เงาจัด   ดูว่าแสงเข้ามาทางไหนและเงาตก กระทบไปในทิศใดก็ทำสัญลักษณ์ไว้ด้วยการลงน้ำหนักบางๆเผื่อเวลาที่จะลง น้ำหนักจริงๆจะได้ไม่ลายแต่หากรูปต้นแบบที่นำมาเขียนนั้น  มีแสงและเงา ที่นุ่มๆกลมกลืนไม่ตัดกันชัดเจนมากนักก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย    
     3.แรเงาน้ำหนักกลางจริงๆแล้วขั้นตอนนี้เป็นขั้น ตอนที่สอง   หากว่ารูปที่เลือกเขียนเป็นรูปที่มีน้ำหนักแสงเงาที่ไม่ชัดเจนมากหลักจากร่างภาพที่สมบูรณ์แล้วก็แรเงาำหนัก โดยรวมๆให้เป็น กลาง น้ำหนักกลางที่ว่านี้ก็คือน้ำหนักของลายเส้นที่สามารถลบออกเพื่อ ทำแสงสะท้อน (reflectedlight)หรือน้ำหนักสว่างที่สุด(highlight)ได้และสามารถลงน้ำหนักเข้มสุด(core of  shadow )  ได้เช่นกัน  ส่วนจุดที่เห็นว่าโดนแสงมากสุดหรือสว่าง สุดก็สามารถเว้นน้ำหนัก  ขาวได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องลงน้ำหนัก    การลง น้ำหนักกลางไว้ก่อนนี้จะทำให้สะดวกมากยิ่งขึ้น    ในการแยกแสงและเงาออกจากกันและทำให้ระยะเวลาในการเขียนภาพลดน้อยลงด้วย
     4. กำหนดทิศทางผม ขั้นตอนที่ผ่านมาข้างต้น    เป็นขั้นตอนที่ว่าด้วยการเขียนใบหน้าของคน   แต่มีอีก อย่างที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเขียนใบหน้าคนเหมือน  ก็คือการเขียนผมหรือ ทรงผม หากว่าขาดจุดนี้ไปก็จะไม่ทำให้ภาพเหมือนที่เขียนสมบูรณ์ได้   เว้นแต่แบบที่เลือกมาเขียนจะหัวล้าน   ขั้นแรกในการเขียนผม  ก็คือควรจะกำหนดทิศทาง  ของทรงผมไว้อย่างคร่าวๆก่อน  ด้วยการลงน้ำหนักโดยการนอนดินสอ   เพราะการนอน ดินสอนั้นจะทำให้  ผู้เขียนนั้นไม่เกร็งมาก  มีอิสละในการกำหนดทิศทาง   และ ได้ปริมาณการลงน้ำหนักในการขีดหรือลากภายในครั้งเดียว 
    5. แรเงาน้ำหนักผม     ขั้นตอนนี้เกือบจะสุดท้ายแล้วค่ะ   แต่ยังมีการเก็บรายละเอียดอีกขั้นตอนหนึ่ง   เป็นขั้นตอนสุดท้ายจริงๆ จากที่กำหนดทิศทางทรงผมเรียบร้อยแล้ว   ต่อไปก็แรเงาน้ำหนักของทรงผมที่ ชัดเจน   ที่กำหนดไว้ตามขั้นตอนที่ 4 เพราะหากทิศทางทรงผมไม่ชัดเจน   ก็จะ ยุ่งเหยิงไม่เป็นธรรมชาติขั้นตอนนี้สังเกตให้ดีว่าจุดไหนมีแสงเข้าก็ลง น้ำหนักเบาๆหรือเว้นขาวไว้เลย   จุดไหนมืดก็แรเงาความเข้มได้เต็มที่เลยครับ
    6.เก็บรายละเอียดขั้นตอนสุด ท้ายของการเขียนภาพเหมือนไม่ว่าจะเป็นการเก็บรายละเอียด   ขนตา  ไร ผม  น้ำหนักต่างๆ   เสื้อผ้า   คิ้ว   พื้นหลัง ( background) ฯลฯ หากใส่ใจในรายละเอียดมากเท่าไหร่   ผลงานภาพเขียนก็จะดูมีเสน่ห์  และมีคุณ ค่ายิ่งขึ้น ขั้นตอนก็มีแค่นี้ละค่ะ จะว่ายากก็กะไร  จะว่าง่ายก็ไม่เชิง อะไรๆก็สู้ความพยายามของมนุษย์ไม่ได้ค่ะ  อยากรู้ก็ต้องรองทำ 
  

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สถาปัตยกรรมศาสตร์










รายชื่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ที่เปิดสอนวิชาด้าน สถาปัตยกรรมศาสตร์